ความสุขมีความสําคัญมากในการปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่า พุทธจริยธรรมไม่ แยกต่างหากจากความสุข
เริ่มแต่ขั้นต้น ในการทําความดีหรือกรรมดีทั่วๆ ไป ที่เรียกว่า
บุญ ก็มีพุทธพจน์ตรัสว่า “บุญเป็นชื่อของความสุข”
ในการ
เจริญภาวนา บําเพ็ญเพียรทางจิต ความสุขก็เป็นปัจจัยสําคัญที่จะให้เกิด
สมาธิ ดังพุทธพจน์ว่า “ผู้มีสุข จิตย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ)” และถือเป็นหลักว่า สมาธิมีสุขเป็นปทัฏฐาน ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ
บรรลุฌานแล้ว ความสุขก็เป็นองค์ประกอบของฌาน ดังที่เรียกว่าเป็น
องค์ฌาน ต่อไปจนถึง
ฌานที่ ๓ ฌานสมาบัติ ที่สูงกว่านั้นขึ้นไป แม้จะไม่มีสุขเป็นองค์ฌาน
แต่ก็กลับเป็นความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไปอีกจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ
นิพพาน ก็เป็นความสุข และเป็นบรมสุข คือสุขสูงสุดด้วย
นอกจากนั้น จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ที่เป็นบรมสุขหรือโพธินั้น ก็พึงบรรลุได้ด้วยความสุข หรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
รู้จักกามสุข และเสพบริโภคอย่างมีปัญญา ที่ทําให้เป็นอิสระเสรี ความสุขมีหลากหลาย สูงขึ้นไปตามลําดับขั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “
พระองค์ได้ทรงบรรลุถึงความสุขที่ไม่ต้องอาศัยกาม และความสุขอย่างอื่นที่ประณีต ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว จึงทรงยืนยันได้ว่าจะไม่ทรงเวียนกลับมาหากามอีก แต่ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงประสบความสุขที่ ประณีตเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่ทรงสามารถยืนยันได้ว่า พระองค์จะไม่ทรงเวียนกลับมาหากามอีก“
พร้อมกันนั้นก็ได้ตรัสทํานองเตือนผู้ปฏิบัติธรรมให้ระลึกไว้ว่า ถึงหากอริยสาวกจะมองเห็นอย่างชัดเจน ตามความเป็นจริงด้วยสัมมาปัญญาว่า “
กามทั้งหลายมีความหวานชื่นน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษ ในกามนี้มากยิ่งนัก แต่ถ้าอริยสาวกนั้นยังไม่ประสบ ยังไม่รู้จักปีติและความสุขที่ไม่ต้องอาศัยกาม หรือความสุขที่ ประณีตยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังวางใจไม่ได้ว่าเธอจะไม่วกเวียนกลับมาหากามอีก“
ในทํานองเดียวกันนั้น ได้ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายไว้โดยจําเพาะว่า “
ถ้าผู้บวชแล้ว ยังมิได้ประสบปีติและ ความสุขที่ไม่ต้องอาศัยกาม หรือความสุขที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น กิเลสทั้งหลาย เช่น อภิชฌา พยาบาท ความฟุ้งซ่าน เกียจคร้าน เบื่อหน่าย ก็จะเข้าครอบงําจิตได้ หมายความว่า ก็จะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ หรือทน ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ไม่ได้“
ความที่ยกมาอ้างเหล่านี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาถือความสุขเป็นเรื่องสําคัญแล้ว ยังให้ข้อสังเกตต่อไปอีกว่า การที่อริยสาวกละกามนั้น มิใช่เป็นเพราะกามไม่มีความสุข หรือเพราะ พระพุทธศาสนาสอนให้ละเว้นความสุข พระพุทธศาสนายอมรับความสุขตามที่เป็นจริง สอนให้ปฏิบัติเพื่อบรรลุ ความสุข และยอมรับว่ากามมีความสุข แต่อริยสาวกละกาม เพราะเห็นว่า กามมีความสุขก็จริง แต่ยังปะปนด้วยทุกข์ มาก และข้อสําคัญก็คือ ยังมีความสุขอย่างอื่นที่สุขกว่า ลึกซึ้งประณีตกว่าสุขที่เกิดจากกาม หรือความสุขที่เกิดจากการ เสพเสวยรสอร่อยของโลกอย่างสามัญชน อริยสาวกละกาม ก็เพราะได้ประสบความสุขที่ประณีตกว่านั้น
ความข้อนี้แสดงว่า ความสุขมีแตกต่างกัน เป็นขั้น เป็นระดับ สิ่งที่ควรศึกษาในตอนนี้ก็คือว่า พระพุทธศาสนาจัดแบ่งความสุขออกเป็นขั้น หรือระดับ อย่างไร
ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ทรงจําแนกความสุขออกไปทั้งโดยประเภท และโดยระดับ เป็นคู่ๆ มากมายหลายคู่ เช่น
สุขของคฤหัสถ์กับสุขของบรรพชิต กามสุขกับเนกขัมมสุข โลกยสุขกับโลกุตรสุข สุขของ พระอริยะกับสุขของปุถุชน เป็นต้น

แต่วิธีแบ่งที่เป็นลําดับขั้นชัดเจน ละเอียด และดูง่าย ไม่ซับซ้อน น่าจะได้แก่วิธีแบ่งเป็น ๑๐ ขั้น หรือ ความสุข ๑๐ ขั้น ซึ่งมีในที่มาหลายแห่ง แบ่งดังนี้
[list=1]
- กามสุข สุขเนื่องด้วยกาม ได้แก่ ความสุขโสมนัสที่เกิดขึ้นด้วยอาศัยกามคุณ ๕[/*]
- ปฐมฌานสุข สุขเนื่องด้วยปฐมฌาน ซึ่งสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา[/*]
- ทุติยฌานสุข สุขเนื่องด้วยทุติฌาน ซึ่งประกอบด้วย ปีติ สุข และเอกัคคตา[/*]
- ตติยฌานสุข สุขเนื่องด้วยตติยฌาน ซึ่งประกอบด้วย สุข และเอกัคคตา[/*]
- จตุตถฌานสุข สุขเนื่องด้วยจตุตถฌาน ซึ่งประกอบด้วย อุเบกขา และเอกัคคตา[/*]
- อากาสานัญจายตนสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ ซึ่งล่วงพ้นรูปสัญญาได้สิ้นเชิง ปฏิฆสัญญาล่วงไปหมด ไม่มนสิการนานัตตสัญญา นึกถึงแต่อากาศอันอนันต์เป็นอารมณ์[/*]
- วิญญาณัญจายตนสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ซึ่งคํานึงวิญญาณอันอนันต์ เป็นอารมณ์[/*]
- อากิญจัญญายตนสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ ซึ่งคํานึงภาวะที่ไม่มีอะไร เลยเป็นอารมณ์[/*]
- เนวสัญญานาสัญญายตนสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ อันถึงภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่[/*]
- สัญญาเวทยิตนิโรธสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ อันถึงภาวะที่ดับสัญญาและเวทนาทั้งหมด[/*]
ถ้าจะจัดให้ย่อเข้า สุข ๑๐ ข้อนี้ รวมเข้าได้เป็น ๓ ระดับ คือ
[list=1]
- กามสุข สุขเนื่องด้วยกาม[/*]
- ฌานสุข หรือ (อัฏฐ) สมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยฌาน หรือสุขเนื่องด้วยสมาบัติ ๔ แยกเป็น ๒ ระดับย่อย[list=1]
- สุขในรูปฌาน หรือสุขเนื่องด้วยรูปฌาน ๔[/*]
- สุขในอรูปฌาน หรือสุขเนื่องด้วยอรูปฌาน ๔[/*]
[/*]
- นิโรธสมาปัตติสุข สุขเนื่องด้วยนิโรธสมาบัติ[/*]
สุขทั้ง ๑๐ ขั้นนี้ ท่านยอมรับว่าเป็นความสุขทั้งนั้น หากแต่เป็นความสุขที่ดีกว่า ประณีตลึกซึ้งยิ่งกว่ากัน ขึ้นไปตามลําดับขั้น เพราะความสุขขั้นต้นๆ มีส่วนเสีย หรือแง่ที่เป็นทุกข์แทรกอยู่ด้วยมาก เมื่อเป็นสุขขั้นสูงขึ้นไป ก็ยิ่งประณีตบริสุทธิ์มากขึ้น
ท่านสอนให้มองความสุขเหล่านั้นตามความเป็นจริง ทั้งด้านที่เป็นสุข และด้านที่มีทุกข์เข้ามาปน คือมอง ทั้งส่วนดีและส่วนเสีย หรือทั้งแง่ที่เป็นคุณและแง่ที่เป็นโทษ (เรียกเป็นคําศัพท์ว่า ทั้ง อัสสาทะ และ อาทีนวะ) นอกจากนั้น ยังให้รู้จักทางออก ทางรอดพ้น หรือภาวะเป็นอิสระที่ดีกว่า ซึ่งไม่ขึ้นต่อส่วนดีส่วนเสียนั้นด้วย (เรียก เป็นศัพท์ว่า นิสสรณะ)
เมื่อเห็นโทษของสุขที่หยาบ ก็จะหน่ายหายติด และโน้มใจไปหาสุขที่ประณีตยิ่งกว่า เมื่อรู้จักและได้ ประสบความสุขที่ประณีตประจักษ์กับตัวแล้ว ก็จะละความสุขที่หยาบกว่าเสียได้ มุ่งบรรลุสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไป ตามลําดับ อย่างน้อยก็จะไม่มัวเมาหมกมุ่นในสุขที่หยาบนั้นจนเกินไป
เมื่อใด จิตหลุดพ้นเด็ดขาดแล้ว ตัดเยื่อใยได้สิ้น ก็จะไม่วกเวียนกลับมาหาความสุขที่หยาบอีกต่อไป คงเสวยแต่สุขที่ประณีตสําหรับจิตที่เป็นอิสระอย่างเดียว
สุขใน สุขประณีต จนถึงสุขสูงสุด – ก้าวสู่ความสุขที่ประณีตสูงขึ้นไป
ก่อนจะกล่าวถึงความสุขที่ประณีต เห็นควรแสดงความหมายทั่วไปของความสุข และความทุกข์ ชนิดที่มี เป็นพื้นอยู่ในจิตใจ ซึ่งสัมพันธ์กับความสุขอย่างอื่นๆ ทั้งหมด กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง มีปริพาชกถามพระสารีบุตรว่า อะไรคือความสุข อะไรคือความทุกข์ ในธรรมวินัยนี้ พระสารีบุตรได้ตอบว่า
“ความไม่ยินดี นั่นแลท่าน เป็นทุกข์ในธรรมวินัยนี้, ความยินดี จึงเป็นสุข“เมื่อมีความไม่ยินดี (อนภิรดี) ก็เป็นอันหวังทุกข์นี้ได้ คือ แม้เดินอยู่ ก็ไม่ประสบความสุข ความสําราญ แม้ยืนอยู่ แม้นั่งอยู่ แม้นอนอยู่ แม้อยู่ในบ้าน แม้อยู่ในป่า แม้อยู่ที่โคนไม้ แม้อยู่ในเรือนว่าง..แม้อยู่ในที่แจ้ง…แม้อยู่ท่ามกลางหมู่ภิกษุ ก็ไม่ประสบความสุขความสําราญ, เมื่อมีความไม่ยินดี ย่อมเป็นอันหวังทุกข์นี้ได้,* (แต่) เมื่อมีความยินดี (อภิรดี) ก็เป็นขันหวังความสุขนี้ได้ คือ แม้เดินอยู่ ก็ประสบ ความสุขความสําราญ แม้ยืนอยู่ แม้นั่งอยู่ แม้นอนอยู่ แม้อยู่ในบ้าน… แม้อยู่ในป่า แม้อยู่ที่ โคนไม้แม้อยู่ในเรือนว่าง…แม้อยู่ในที่แจ้ง แม้อยู่ท่ามกลางหมู่ภิกษุ ก็ย่อมประสบความสุข ความสําราญ, เมื่อมีความยินดี ก็เป็นอันหวังความสุขนี้ได้”